homeaboutusprojectnewsdata


english

 
 
   

   
 
 

นัดไต่สวนมูลฟ้องนักอนุรักษ์บ้านย่าหมีคดีปกป้องป่าสงวนแห่งชาติฯ
28 ก.พ. 54

   

กรณีกลุ่มนักอนุรักษ์บ้านย่าหมีปกป้องป่าสงวนแห่งชาติป่าช่องหลาด ต.เกาะยาวใหญ่ เกิดขึ้นเมื่อกลางเดือน ธันวาคม 2550 กลุ่มอนุรักษ์ฯ จำนวนกว่า 30 คนรวมตัวกันเข้าไปสำรวจพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าช่องหลาด ที่เป็นป่าต้นน้ำของชุมชนหลังจากได้สังเกตเห็นมีการนำรถแบ็คโฮเข้ามาบุกรุก และถางไถ ปรับสภาพพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ หลังจากนั้นต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ชาวบ้านย่าหมี จำนวน 17 ราย ได้รับหมายเรียก เป็นผู้ต้องหาจากสถานีตำรวจภูธรเกาะยาวในข้อหาร่วมกันบุกรุกหรือเข้าไปทำการ ใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครอง อสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกติสุข และร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร และกลุ่มอนุรักษ์บ้านย่าหมีได้ขึ้นศาลจังหวัดพังงา ที่ไต่สวนมูลฟ้องและไกล่เกลี่ยมาแล้วเมื่อปี 2552 และกลุ่มอนุรักษ์ได้มีข้อเสนอต่อศาลขอให้บริษัท นาราชา จำกัด ปฏิบัติตามข้อเสนอของชุมชน  7 ข้อ เรื่องให้บริษัท นาราชา จำกัดคืนป่าสงวนแห่งชาติป่าช่องหลาดและเป็นป่าต้นน้ำแก่รัฐและชุมชน

เช้าวันนี้ (28 ก.พ. 54) เวลา ประมาณ 09.30น. กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติบ้านย่าหมี ต.เกาะยาวใหญ่ อ.เกาะยาว จ.พังงา ที่ตกเป็นจำเลย จำนวน 17 ราย  พร้อมด้วยญาติพี่น้องจากบ้านย่าหมี จำนวน 60 คน ร่วมเดินขบวนกับแกนนำนักอนุรักษ์บ้านย่าหมีที่ถูกบริษัท นาราชา จำกัด ฟ้องร้องในข้อหาร่วมกันบุกรุกหรือเข้าไปทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครอง อสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกติสุข และร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร

โดยเริ่มเดินขบวนถือป้ายผ้าเขียนว่าเจ้าหน้าที่รัฐเอาป่าสงวนให้นายทุน เอาคดีให้ผู้รักษาป่าสงวนและมาตรฐานคนรักษ์ป่าคือจำเลย บ.นาราชา ถูกต้องหรือไม่ ยุติธรรมหรือไม่ จากสวนสาธารณะสมเด็จศรีนครินทร์เดินเรียบถนนทางหลวงเพื่อมุ่งหน้าไปยังศาลจังหวัดพังงา  เนื่องจากศาลจังหวัดพังงานัดไต่สวนมูลฟ้องโดยมีนายอภิชาติ  เอ่งฉ้วน เป็นผู้พิพากษาห้องพิจารณาคดีบัลลังก์ที่ 2 และมีนายสมพงศ์  เจียรจรูญศรีเป็นทนายฝ่ายโจทย์ของบริษัท นาราชา จำกัด และทนายความฝ่ายจำเลย คือนายแสงชัย รัตนเสรีวงศ์

นางสาวรุ่งนภา  ชายเลี้ยง แกนนำกลุ่มอนุรักษ์และเป็น 1 ใน 17 ผู้ต้องหา กล่าวว่า การมาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 เราขึ้นศาลมาตั้งแต่ พ.ศ.2552 พวกเราชาวบ้านย่าหมียืนยันข้อเสนอ 7 ข้อ  คือ 1.บริษัท นาราชา จำกัด ต้องไม่ไถ ถาง เปลี่ยนแปลงสภาพป่าเกินจากเขตใบจองของชาวบ้านที่รัฐจัดให้เดิม 2.ต้องไม่สร้างท่าเทียบเรือส่วนตัวมารีน่าที่อ่าวคลองสน  แต่ควรไปปรับปรุงท่าเทียบเรือสาธารณะที่มีอยู่เดิมเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน 3.หยุดปิดกั้นร่องน้ำและการถมทำลายแอ่งรับน้ำธรรมชาติในพื้นที่กรณีพิพาท 4.เปิดทางเดินสาธารณะ ซึ่งอยู่ในที่ดินที่เป็นกรณีพิพาทที่เชื่อมระหว่างหมู่บ้าน 5.ทุกโครงการของบริษัท นาราชา จำกัด ที่จะดำเนินการในชุมชน  ต้องผ่านความเห็นชอบของชาวบ้านก่อน 6.บริษัท  นาราชา  จำกัด  ต้องเปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบแนวเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ  ป่าช่องหลาด , ป่าเกาะยาวใหญ่แปลงที่ 2 และแนวเขตพื้นที่ชายหาดสาธารณะ และ 7.ให้มีการพิสูจน์สิทธิ์ครอบครองตามใบจองและนส.3 โดยเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องและชุมชน  โดยที่บริษัท  นาราชา  จำกัด ต้องเปิดพื้นที่ให้มีการพิสูจน์สิทธิ์  และยอมรับผลการพิสูจน์  โดยบริษัทฯ ต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์  เช่น กรณี นายส้าฝาด  ห่วงผลและนายส้อหล้า  ห่วงผล , นายสุวรรณ  หยั่งทะเล เป็นต้น

สำหรับการไต่สวนมูลฟ้องครั้งนี้เป็นการไต่สวนพยานปากแรกคือ ร.ต.ท.เกล้า  พลนุ้ย เป็นร้อยเวรที่รับผิดชอบคดีนี้ ซึ่งใช้เวลาทั้งวันยังไม่เสร็จ จึงนัดไต่สวนครั้งถัดไปในวันที่ 5 เม.ย.54

 
 
องค์การความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอันดามัน (ARR) 24/28 หมู่ 1 ถนนศักดิเดช  ต.วิชิต อ. เมือง จ.ภูเก็ต 83000  
โทรศัพท์/โทรสาร 076-393458    Email: