| นักอนุรักษ์บ้านย่าหมียืนยันนายทุนต้องคืนป่าสงวนแห่งชาติป่าช่องหลาดกลับมาสู่รัฐและชุมชน  28 ก.ย.53  คดีที่เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากเมื่อกลางเดือน ธันวาคม 2550 กลุ่มอนุรักษ์   ทรัพยากรธรรมชาติบ้านย่าหมี ตำบลเกาะยาวใหญ่ จังหวัดพังงา จำนวนกว่า 30   คนรวมตัวกันเข้าไปสำรวจพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าช่องหลาด   ที่เป็นป่าต้นน้ำของชุมชนหลังจากได้สังเกตเห็นมีการนำรถแบ็คโฮเข้ามาบุกรุก และถางไถ   ปรับสภาพพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ หลังจากนั้นต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ชาวบ้านย่าหมี   จำนวน 17 ราย ได้รับหมายเรียก   เป็นผู้ต้องหาจากสถานีตำรวจภูธรเกาะยาวในข้อหาร่วมกันบุกรุกหรือเข้าไปทำการ ใดๆ   อันเป็นการรบกวนการครอบครอง อสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกติสุข   และร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร   และกลุ่มอนุรักษ์บ้านย่าหมีได้ขึ้นศาลจังหวัดพังงา   ที่ไต่สวนมูลฟ้องและไกล่เกลี่ยมาแล้วเมื่อปี 2552   และกลุ่มอนุรักษ์ได้มีข้อเสนอต่อศาลขอให้บริษัท นาราชา จำกัด ปฏิบัติตามข้อเสนอของชุมชน  7 ข้อ เรื่องให้บริษัท นาราชา   จำกัดคืนป่าสงวนแห่งชาติป่าช่องหลาดและเป็นป่าต้นน้ำแก่รัฐและชุมชน
             ในวันนี้ (28 ก.ย.53)  เมื่อเวลา ประมาณ   09.30น. กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติบ้านย่าหมี   ต.เกาะยาวใหญ่ อ.เกาะยาว จ.พังงา ที่ตกเป็นจำเลย จำนวน 17 ราย    พร้อมด้วยญาติพี่น้องจากบ้านย่าหมีและเครือข่ายองค์กรชุมชนชายฝั่งภูเก็ต-พังงา   จำนวน 40 คน   ร่วมเดินขบวนและให้กำลังใจกับแกนนำนักอนุรักษ์บ้านย่าหมีที่ถูกบริษัท นาราชา จำกัด   ฟ้องร้องในข้อ หาร่วมกันบุกรุกหรือเข้าไปทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครอง   อสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกติสุข   และร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร               กลุ่มอนุรักษ์และชาวบ้านทั้งหมดได้เดินขบวนพร้อมถือป้ายที่เขียนข้อความว่า   บ้านย่าหมี หมู่บ้านรางวัลลูกโลกสีเขียว 2 ครั้ง   โดยเริ่มเดินจากบริเวณสวนสาธารณสมเด็จศรีนครินทร์เดินเรียบถนนทางหลวงเพื่อมุ่งหน้าไปยังศาลจังหวัดพังงา   เนื่องจากทางศาลจังหวัดพังงานัดไกล่เกลี่ยที่ห้องพิจารณาคดีบัลลังก์ที่ 2   โดยมีนายพศวัต จงอรุณงามแสง เป็นผู้พิพากษา และมีนายสมพงศ์    เจียรจรูญศรีเป็นทนายฝ่ายโจทย์ของบริษัท นาราชา จำกัด และทนายความฝ่ายจำเลย   คือนายแสงชัย รัตนเสรีย์วงศ์ ในการมาไกล่เกลี่ยครั้งนี้กลุ่มอนุรักษ์ฯ ย่าหมีได้ยืนถึงข้อเสนอต่อศาล 7 ข้อ     คือ 1.บริษัท  นาราชา จำกัด ต้องไม่ไถ  ถาง    เปลี่ยนแปลงสภาพป่าเกินจากเขตใบจองของชาวบ้านที่รัฐจัดให้เดิม 2.ต้องไม่สร้างท่าเทียบเรือส่วนตัวมารีน่าที่อ่าวคลองสน    แต่ควรไปปรับปรุงท่าเทียบเรือสาธารณะที่มีอยู่เดิมเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน 3.หยุดปิดกั้นร่องน้ำและการถมทำลายแอ่งรับน้ำธรรมชาติในพื้นที่กรณีพิพาท 4.เปิดทางเดินสาธารณะ  ( ซึ่งอยู่ในทางเดินในกรณีพิพาท   ) ที่เชื่อมระหว่างหมู่บ้าน 5.ทุกโครงการของบริษัท นาราชา   จำกัด ที่จะดำเนินการในชุมชน    ต้องผ่านความเห็นชอบของชาวบ้านก่อน 6.บริษัท    นาราชา  จำกัด    ต้องเปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบแนวเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ    ป่าช่องหลาด , ป่าเกาะยาวใหญ่แปลงที่ 2 และแนวเขตพื้นที่ชายหาดสาธารณะ และ 7.ให้มีการพิสูจน์สิทธิ์ครอบครองตามใบจองและนส.3 โดยเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องและชุมชน  โดยที่บริษัท    นาราชา  จำกัด ต้องเปิดพื้นที่ให้มีการพิสูจน์สิทธิ์    และยอมรับผลการพิสูจน์    โดยบริษัทฯต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์    เช่น กรณี นายส้าฝาด  ห่วงผลและนายส้อหล้า    ห่วงผล , นายสุวรรณ  หยั่งทะเล เป็นต้น   ซึ่งทางทนายฝ่ายโจทย์ไม่รับข้อเสนอของกลุ่มอนุรักษ์และชาวบ้านย่าหมี    ดังนั้นทางผู้พิพากษาจึงนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 22 ธ.ค.53  |