| แถลงข่าว คณะกรรมการประสานงานองค์กรเอกชนภาคใต้ (กป.อพช.ใต้)
 เรื่อง 11 โครงการรุนแรง
 ๓๑  สิงหาคม   ๒๕๕๓                การพัฒนาประเทศในปัจจุบันไม่ได้ก่อให้เกิดการพัฒนาที่นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของคน  ชุมชน สิ่งแวดล้อม แม้กระทั่งมิติเศรษฐกิจ เห็นได้ชัดจากช่องว่างทางรายได้ยังเพิ่มสูงขึ้น  สัดส่วนคนจนและปัญหาสังคมยังเพิ่มขึ้นตลอดเวลา  ทั้งนี้เนื่องจากการพัฒนาประเทศยังคงเน้นภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก  ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดช่องว่างของรายได้ เกิดกระทบต่อคนส่วนใหญ่  ทำลายสิ่งแวดล้อม สุขภาพและสังคม  ซึ่งผลกระทบดังกล่าวมีส่วนอย่างสำคัญในการลดทอนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ  ซึ่งหากประเทศไทยยังไม่เปลี่ยนทิศทางการพัฒนาที่ก่อให้เกิดปัญหาและความรุนแรงเพิ่มขึ้นจนไม่อาจเยียวยาได้ในอนาคต  ปัจจุบันได้เกิดผลพวงจากการพัฒนาอุตสาหกรรมเกิดขึ้นแล้วในหลายพื้นที่ซึ่งมีผลทำลายคนส่วนใหญ่แต่ปรนเปรอคนส่วนน้อย  เช่น กรณีมาบตาพุดซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบขนาดใหญ่ดังที่ทราบกันทั่วประเทศและรัฐบาลยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้เลยแม้มิติเดียว  ในทางตรงกันข้ามรัฐได้สร้างกลไกที่ก่อให้เกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้นในการพัฒนาอุตสาหกรรมซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงในอนาคต  ซึ่งหากไม่สามารถสร้างทิศทางการพัฒนาประเทศที่ชัดเจนและยึดถือประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ประเทศไทยจะประสบวิกฤติอย่างร้ายแรง กป.อพช.ใต้ได้ติดตามกระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรมของรัฐมาโดยตลอด  วิตกกังวล ในรอบการประชุมคณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓  มีมติ ดังต่อไปนี้  ๑. ประเด็นการกำหนดประเภทโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างร้ายแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม  ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๖๗  กป.อพช.ใต้ มีความเห็นว่า เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญมาตรา ๖๗  เป็นการสะท้อนความคิดสังคมไทยว่า พร้อมที่จะรับโครงการพัฒนาที่อาจมีผลกระทบต่างๆ  แต่ผู้ดำเนินโครงการต้องมีกระบวนการศึกษาและวางมาตรการลดผลกระทบทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อม  สังคม สุขภาพ  รวมทั้งเปิดให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมจากประชาชนและจากผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นประกอบในนามองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อม  เป็นกลไกกลั่นกรองโครงการที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างรุนแรงให้ดำเนินการอย่างรอบคอบ  ไว้ระดับหนึ่ง ส่วนกระบวนการอนุมัติ อนุญาต  เป็นบทบาทของฝ่ายการเมืองที่จะต้องกำหนดนโยบาย  และรับผิดชอบต่อนโยบายและการตัดสินใจของตน      อย่างไรก็ตาม ได้มีความพยายามที่จะกำหนดนิยาม  โครงการที่มีผลกระทบรุนแรง ผ่านการทำงานของคณะกรรมการ๔ ฝ่าย ซึ่งประชาชนในภาคใต้ได้ร่วมกันเสนอโครงการที่จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงตามกลไกของคณะกรรมการ๔ฝ่าย  และเข้าใจว่าจะมีการประกาศตามข้อเสนอของประชาชน แต่ปรากฏว่ารัฐบาลนำข้อเสนอของคณะกรรมการ๔ฝ่าย  กลับไปให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเอง เป็นประธาน  พิจารณาแก้ไข ทั้งที่ไม่มีกฎหมายฉบับใด รองรับความชอบธรรมในการกำหนดตัดสินใจว่าโครงการใดอาจก่อให้เกิดความรุนแรงฯ  ของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม  ขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๗  ไม่ใช่ขั้นตอนที่เหนือบ่ากว่าแรง เกินกว่าที่เจ้าของโครงการจะดำเนินการไม่ได้  ทั้งจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อประโยชน์สุขของทุกฝ่าย ถ้านักลงทุนและบริษัทต่างมีความจริงใจ  มีธรรมาภิบาล มีมาตรฐานสูง มีความรับผิดชอบ กป.อพช.ใต้ จึงเห็นว่ารัฐบาลต้องยึดหลักเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ  ในเบื้องต้นให้ยึดรูปแบบและจำนวนโครงการที่คณะกรรมการ๔ฝ่ายกำหนด และเพิ่มจำนวนโครงการฯที่เสนอโดยประชาชน  ซึ่งหลายโครงการได้ถูกตัดออกไป ตั้งแต่ขั้นคณะกรรมการ ๔ฝ่าย เช่น ปิโตรเคมีปลายน้ำ  การขุดเจาะน้ำมัน ซึ่งล้วนเป็นโครงการที่ก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงทั้งสิ้น  กป.อพช.ใต้ เสนอให้ องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อม ต้องเป็นกลไกหลักในการทบทวนการกำหนดประเภทโครงการรุนแรงที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา  ๖๗  ๒. กรณีโครงการต่างๆในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด  คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งตัวนายกรัฐมนตรีเองเป็นประธาน มีเจตนายกเว้นมิให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ  มีผลทำให้โครงการต่างๆเพิ่มขึ้น ทั้งๆที่ปัญหามลพิษในมาบตาพุด  รุนแรงเกินจะรองรับได้อีก กป.อพช.ใต้ เห็นว่า รัฐบาลต้องแก้ปัญหามาบตาพุดให้ได้ก่อนเป็นเบื้องต้น  ไม่ใช่เพิ่มปัญหาด้วยการลดขั้นตอน  อำนวยความสะดวกแก่ฝ่ายอุตสาหกรรมอย่างน่ารังเกียจ  ๓. รัฐบาลต้องทำให้เห็นถึงความจริงใจในการที่จะดูแลประชาชนทุกฝ่าย  ก่อนที่จะกำหนดการพัฒนาในพื้นที่อื่นๆ  ด้วยการยุติโครงการศึกษาของหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาพื้นที่ในภาคใต้  ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายของการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของรัฐและเอกชนทั้งในและนอกประเทศ  ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ประเด็น แผนพัฒนาที่ยั่งยืน...กรณีภาคใต้  ตามกระบวนการพิจารณาของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่๒  โดยมีสาระสำคัญให้คณะรัฐมนตรีพิจารณามอบหมายให้สภาพัฒน์ฯ  ทบทวนและยุติแผนพัฒนาอุตสาหกรรมภาคใต้  และให้คณะรัฐมนตรีออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจภาคใต้และภาคอื่นๆอย่างยั่งยืน  กป.อพช.ใต้ เรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีผลักดันให้เกิดผลในทางปฏิบัติ  และให้ยุติการพัฒนาอุตสาหกรรมภาคใต้ทั้งหมดก่อน  จนกว่าจะเกิดแผนแม่บทการพัฒนาที่ยั่งยืน ๔.รัฐบาลโดยสำนักงานนโยบายแผนและสิ่งแวดล้อม(สผ.) ได้จัดทำแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ  พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๖๒ ซึ่งไม่ได้นำไปสู่การลดภาวะโลกร้อนอย่างแท้จริง เนื่องจากเนื้อหาของแผนแม่บทดังกล่าวไม่ได้นำไปสู่การควบคุมการเกิดขึ้นและการปล่อยสารพิษของภาคอุตสาหกรรม  ซึ่งเป็นภาคการผลิตที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนมากที่สุด  อีกทั้งกระบวนการกำหนดเนื้อหาสาระไม่ได้สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่ขั้นต้นตลอดจนการรับฟังความคิดเห็น กป.อพช.ใต้  จึงไม่เห็นด้วยกับร่างแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ พ.ศ.  ๒๕๕๓-๒๕๖๒ ทั้งฉบับ จนกว่าจะผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการจัดทำแนวคิด  เนื้อหา และโครงการทั้งหมดเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของโลกร้อน  กป.อพช.ใต้ ปรารถนาที่จะเห็นการพัฒนาที่ยึดถือประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก  ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม สังคมและชุมชน การพัฒนาที่ทุกคนมีส่วนร่วมคิด ร่วมรับประโยชน์  ซึ่งจะเป็นการพัฒนาที่ถูกต้องอย่างแท้จริง  นอกเหนือจากนี้เป็นการพัฒนาที่เราไม่เห็นด้วยและขอคัดค้านถึงที่สุด               คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ 
 ๓๑  สิงหาคม   ๒๕๕๓
 |