| ผู้หญิง กับ  ปฏิบัติการล้มทุนนิยมข้ามชาติ 2 ภูเก็ตโพสต์ ฉบับวันที่ 16 - 31  กรกฎาคม 2555   
               กลุ่มจังหวัดสามเหลี่ยมอันดามัน  (กระบี่ พังงา ภูเก็ต) สนองรับนโยบายชาติอย่างไม่มีเงื่อนไข ด้วยวิสัยทัศน์ “ศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางทะเลระดับโลก  และเป็นประตูเชื่อมโยงเศรษฐกิจสู่นานาชาติ” Andaman Paradise  หรือมรกตเมืองใต้ ที่มีจุดขายหลักด้านการท่องเที่ยว คือ หาดทราย  ชายทะเล หมู่เกาะ และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ แม้จังหวัดพังงาไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของจังหวัดภูเก็ต  แต่ถ้าพิจารณาในเชิงภูมิศาสตร์แล้วนอกจากภูเก็ต พังงา และกระบี่  ตั้งอยู่ทะเลฝั่งอันดามันเหมือนกันแล้ว  ยังใช้ทรัพยากรชายฝั่งในอ่าวเดียวกันอีกด้วย นั่นคือ “อ่าวพังงา”  นั่นแสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจังหวัดใดมีนโยบายที่อาจจะส่งผลดีหรือร้ายต่อทรัพยากรในอ่าวพังงาย่อมได้รับผลกระทบกันทั่วหน้าทั้ง  3 จังหวัด   นโยบาย  3 จังหวัด อยากจะพัฒนาเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ทางทะเล  แหล่งดำน้ำระดับโลก และบริการสุขภาพ  และแหล่งรักษาภาพลักษณ์ศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางทะเล ซึ่งควรจะอนุรักษ์และรักษาทรัพยากรธรรมชาติ  เช่น ปะการัง  ความสมบูรณ์ของแหล่งหญ้าทะเล  อันมีค่ายิ่งนี้ไว้   แต่กลับทำลายทรัพยากรนั้นเสีย   แล้วส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยการสร้างสิ่งปลูกสร้างแปลกปลอมเช่น  ท่าเรือมีน่า ซึ่งสวนทางกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ   “เป็นไปได้อย่างไรที่รัฐผู้มีความรู้ ความสามารถ  จะอนุญาตให้มีโครงการฯ เขาไม่รู้เลยหรือว่าบริเวณอ่าวคลองสนมีทรัพยากรทางทะเลมากมาย  ทั้งแหล่งหญ้าทะเล แนวปะการัง ป่าชายเลน  ป่าชายหาด พื้นตรงนี้เป็นของสาธารณะ  ทุกคนมีสิทธิใช้ได้ เขาไม่รู้สักนิดเลยหรือ หรือรู้แต่แกล้งปิดหู ปิดตา”  นางกานดา โต๊ะไม  หรือมักเรียกว่า จ๊ะดำ แกนนำกลุ่มสตรีบ้านย่าหมีกล่าวทั้งน้ำตาบนเวทีรณรงค์คัดค้านการสร้างท่าเรือมารีน่าที่อ่าวคลองสน  นางสุภารัตน์  มาตรศรี หรือ  จ๊ะดำ หนึ่งในแกนนำที่ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติบ้านย่าหมี เล่าสมทบว่า  “ถ้าต้นไม้บนป่าสงวนฯ ก็เป็นการทำลายป่าต้นน้ำ เพราะบ้านย่าหมีและหมู่บ้านใกล้เคียงอาศัยน้ำจากป่าต้นน้ำนี้”  ป่าสงวนฯ ที่นางสุดารัตน์พูดถึงคือป่าสงวนแห่งชาติ ป่าช่องหลาด  ที่ครอบคลุมพื้นที่ 5 หมู่บ้าน 2 ตำบลในเกาะยาวใหญ่  ที่บริษัททุนข้ามชาติซึ่งเป็นบริษัทเดียวกันกับที่มีโครงการจะสร้างท่าเทียบเรือมารีนา  กำลังใช้รถแบ๊คโฮถางไถพื้นที่และชาวบ้านในพื้นที่บอกว่ารถแบ๊คโฮไถล้ำเข้าไปในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าช่องหลาด  การออกหน้าปกป้องป่าสงวนแห่งชาติป่าช่องหลาดทำให้ถูกบริษัทเอกชนฟ้องร้องชาวบ้าน  17 คน ด้วยข้อหาว่า  ร่วมกันบุกรุกหรือเข้าไปทำการใดๆ  อันเป็นการรบกวนการครอบครอง  อสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกติสุข  และร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร ( ต้นงวงช้าง )  และ 4 ใน 17 คน เป็นผู้หญิง  ผู้หญิง 1 ใน 4 คน  ไม่ได้ร่วมการสำรวจป่าต้นน้ำอันเป็นที่มาของการฟ้องร้อง
 นางสาวรุ่งนภา  ชายเลี้ยง หรือ จ๊ะสาว  เป็นหนึ่งในแกนนำการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติบ้านย่าหมี  เล่าด้วยน้ำเสียงหัวเราะว่า “วันที่หลายๆ  คนขึ้นไปสำรวจป่าต้นน้ำที่เห็นว่านายทุนบุกรุกป่า จ๊ะ (พี่) ไม่ได้ขึ้นไปด้วย  ขายกาแฟที่บ้าน เห็นเขาขึ้นไปกันเป็น 20-30 คน  ทำไมโดนฟ้องแค่สิบกว่าคน ไม่เข้าใจว่าคนที่ไม่ได้ขึ้นไปอย่างเราก็ยังโดนฟ้องด้วย  ...ไม่มีความยุติธรรมเลยจริงๆ” ไม่เพียงแต่ จ๊ะสาวที่ไม่เข้าใจ   ทุกคนที่บ้านย่าหมีก็ไม่มีใครเข้าใจกระบวนยุติธรรมในประเทศนี้?หากนายทุนจะฟ้องอีกสักกี่คดี ผู้หญิงแห่งบ้านย่าหมีไม่มีวันกลัว
 “ความกลัว” ในวันนี้เป็นอย่างไร พวกเธอไม่รู้จัก รู้แต่ว่าจะต้อง  “สู้” ต่อไป
 เพราะ...“ความกลัว”  นั้นได้ตายไปแล้ว...ตายไปในวันที่พวกเธอนอนเฝ้าหาดคลองสน  เพื่อมิให้นายทุนตัวใหญ่พรากเอาหาดคลองสน...สมบัติล้ำค่าของหมู่บ้านไป    ผู้หญิงทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นเพียงปฐมบทของการต่อสู้  และจากนี้ไปปฏิบัติการล้มทุนนิยมข้ามชาติของผู้หญิงแห่งบ้านย่าหมีได้เริ่มต้นขึ้นตามวิถีทางแห่งหญิงชาวบ้านย่าหมี... สุจารี  ไชยบุญ           องค์การความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอันดามัน  |